ทำความเข้าใจเรื่องสเปรดและค่าคอมมิชชั่นในฟอเร็กซ์

การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ (Forex) หรือการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความนิยมสูงสุดในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ อย่างไรก็ตาม การเข้าใจในเรื่องของ สเปรด (Spread) และ ค่าคอมมิชชั่น (Commission) จะช่วยให้นักเทรดมีความเข้าใจในการทำกำไรและการขาดทุนได้ดียิ่งขึ้น
สเปรด (Spread) คืออะไร?
เมื่อคุณทำการซื้อหรือขายสกุลเงินในตลาดฟอเร็กซ์ คุณจะพบกับความแตกต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ของคู่สกุลเงินต่าง ๆ ความแตกต่างนี้เรียกว่า สเปรด ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่ถูกเก็บโดยโบรกเกอร์ในการทำการเทรด โดยปกติแล้วสเปรดจะอยู่ในรูปของจำนวนจุด (Pips) ซึ่งเป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดความเคลื่อนไหวของราคาในตลาดฟอเร็กซ์
สเปรดคือส่วนสำคัญที่นักเทรดฟอเร็กซ์ต้องเข้าใจ เพราะมันจะส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรหรือขาดทุนในการเทรดของคุณ หากสเปรดกว้าง คุณจะต้องรอให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการมากขึ้นก่อนที่คุณจะสามารถทำกำไรได้ ในทางกลับกัน หากสเปรดแคบ คุณจะมีโอกาสทำกำไรได้ง่ายขึ้น เนื่องจากความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายนั้นไม่มาก
ในตลาดฟอเร็กซ์ สเปรดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาดและปัจจัยต่าง ๆ เช่น ข่าวเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อตลาด การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันจะช่วยให้คุณลดต้นทุนในการเทรดได้ ในบางกรณี โบรกเกอร์บางแห่งอาจเสนอ สเปรดคงที่ ซึ่งหมายความว่าสเปรดจะไม่เปลี่ยนแปลงแม้ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน
การคำนวณสเปรดทำได้ง่าย ๆ โดยการหาค่าความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ตัวอย่างเช่น หากราคาซื้อของคู่สกุลเงิน EUR/USD อยู่ที่ 1.1500 และราคาขายอยู่ที่ 1.1505 สเปรดจะเท่ากับ 0.0005 หรือ 5 จุด (Pips) แม้ว่าสเปรดจะดูเหมือนเป็นเพียงตัวเลขเล็กน้อย แต่หากคุณเทรดในจำนวนมาก ๆ หรือเทรดบ่อย ๆ สเปรดก็สามารถสะสมเป็นค่าใช้จ่ายที่ส่งผลต่อกำไรสุดท้ายได้
การคำนวณสเปรด
การคำนวณสเปรดในฟอเร็กซ์ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะเพียงแค่คุณหาค่าความแตกต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ของคู่สกุลเงินที่คุณต้องการเทรด ตัวอย่างการคำนวณสเปรดที่ง่ายที่สุดคือการนำราคาขายมาลบกับราคาซื้อ หากความแตกต่างระหว่างราคาทั้งสองนี้เป็นจำนวนที่สามารถคำนวณได้ในรูปแบบจุด (Pips) ก็จะสามารถรู้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเทรดได้ทันที
- ราคาซื้อ (Bid) คือราคาที่ตลาดพร้อมที่จะซื้อจากคุณ หรือราคาที่คุณจะขายให้กับตลาด
- ราคาขาย (Ask) คือราคาที่ตลาดพร้อมที่จะขายให้คุณ หรือราคาที่คุณจะซื้อจากตลาด
- สเปรด (Spread) คือความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ซึ่งจะถูกคำนวณโดยการลบราคาซื้อจากราคาขาย
- ราคาซื้อ (Bid) = 1.1500
- ราคาขาย (Ask) = 1.1505
- ความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย = 1.1505 – 1.1500 = 0.0005 หรือ 5 จุด (Pips)
ทำไมต้องมีสเปรด?
เหตุผล | คำอธิบาย | ผลกระทบต่อนักเทรด | ผลกระทบต่อโบรกเกอร์ | ตัวอย่าง |
การทำกำไรจากการให้บริการ | โบรกเกอร์ใช้สเปรดเพื่อทำกำไรจากการให้บริการเทรด | นักเทรดจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจากสเปรดในการเทรดทุกครั้ง | โบรกเกอร์จะได้รับรายได้จากสเปรดในทุกการเทรด | หากสเปรดเป็น 5 จุดในการเทรด 1,000 USD |
การเชื่อมต่อระหว่างนักเทรดกับตลาด | โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อนักเทรดกับตลาดฟอเร็กซ์ | นักเทรดต้องจ่ายสเปรดเพื่อให้โบรกเกอร์เชื่อมต่อตลาดได้ | โบรกเกอร์สามารถให้บริการเชื่อมต่อตลาดฟอเร็กซ์แก่ลูกค้าได้ | โบรกเกอร์ช่วยนักเทรดให้เข้าถึงตลาดได้ |
สเปรดทำให้โบรกเกอร์ไม่เสี่ยงต่อการขาดทุน | การเก็บสเปรดช่วยให้โบรกเกอร์มีรายได้แม้ตลาดจะไม่เคลื่อนไหวมาก | นักเทรดต้องทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคามากพอสมควร | โบรกเกอร์ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการขาดทุนจากการเคลื่อนไหวของตลาด | สเปรดช่วยสร้างรายได้แม้ตลาดนิ่ง |
ป้องกันความเสี่ยงจากการทำธุรกรรม | การเก็บสเปรดช่วยลดความเสี่ยงที่โบรกเกอร์จะต้องรับเมื่อเกิดการขาดทุนจากการซื้อขาย | นักเทรดอาจได้รับความเสี่ยงจากการทำกำไรที่ไม่เพียงพอ | โบรกเกอร์สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการขาดทุนในการทำธุรกรรม | สเปรดทำให้โบรกเกอร์มีความมั่นคงในรายได้ |
ความสะดวกในการคำนวณต้นทุน | สเปรดช่วยให้นักเทรดสามารถคำนวณต้นทุนการเทรดได้ง่ายขึ้นและชัดเจน | นักเทรดสามารถทราบต้นทุนได้ล่วงหน้าก่อนการเทรด | โบรกเกอร์มีการกำหนดค่าธรรมเนียมที่ชัดเจนให้กับลูกค้า | นักเทรดคำนวณต้นทุนการเทรดได้อย่างแม่นยำ |
ประเภทของสเปรดในฟอเร็กซ์
ในตลาดฟอเร็กซ์มีหลายประเภทของสเปรดที่นักลงทุนควรรู้จัก ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้ว สเปรดในฟอเร็กซ์จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ สเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread) และ สเปรดแบบลอยตัว (Floating Spread) โดยทั้งสองประเภทนี้มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันตามลักษณะการเทรดและกลยุทธ์ของนักลงทุน
สเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread) คือประเภทสเปรดที่มีค่าคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะเกิดความผันผวนในตลาดก็ตาม ซึ่งการใช้สเปรดแบบคงที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ต้นทุนการเทรดได้แม่นยำกว่า เนื่องจากไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสเปรดในระหว่างการเทรด อย่างไรก็ตาม สเปรดคงที่อาจมีราคาสูงกว่าสเปรดลอยตัวในบางกรณี
สเปรดแบบลอยตัว (Floating Spread) คือประเภทสเปรดที่มีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด หากตลาดมีความผันผวนสูง สเปรดก็จะกว้างขึ้น ในขณะที่ตลาดสงบ สเปรดจะลดลง ซึ่งการเลือกใช้สเปรดแบบลอยตัวนั้นจะทำให้คุณสามารถได้ประโยชน์จากการซื้อขายในช่วงเวลาที่ตลาดมีความเสถียร และสเปรดที่แคบลงอาจช่วยลดต้นทุนในการเทรดได้ แต่ในช่วงที่ตลาดผันผวน สเปรดก็จะขยายตัวและอาจทำให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีประเภทสเปรดที่เรียกว่า ECN (Electronic Communication Network) ซึ่งเป็นการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงนักเทรดกับผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง โดยสเปรดในระบบ ECN จะขึ้นอยู่กับสภาพตลาด ซึ่งจะมีสเปรดที่แคบ แต่จะมีค่าคอมมิชชั่นที่สูงกว่าปกติ สเปรดในระบบนี้จะเหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการสเปรดแคบและสามารถรับค่าคอมมิชชั่นได้
สเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread)
- ความหมายของสเปรดแบบคงที่: สเปรดประเภทนี้จะมีค่าคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่ทำการเทรด ไม่ว่าจะมีความผันผวนในตลาดหรือไม่ ซึ่งทำให้การคำนวณต้นทุนการเทรดแม่นยำและง่ายขึ้น
- ข้อดีของสเปรดแบบคงที่:
- คำนวณต้นทุนการเทรดได้แม่นยำ: เนื่องจากสเปรดไม่เปลี่ยนแปลง นักลงทุนสามารถรู้ต้นทุนการเทรดล่วงหน้า และสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ
- ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสเปรด: แม้ว่าตลาดจะมีความผันผวนสูง สเปรดก็ยังคงเท่าเดิม ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น
- ความโปร่งใสในการคำนวณ: สเปรดที่คงที่ทำให้โครงสร้างต้นทุนการเทรดโปร่งใส นักเทรดไม่ต้องคำนึงถึงการขยายตัวของสเปรดในช่วงที่ตลาดไม่เสถียร
- ข้อเสียของสเปรดแบบคงที่:
- สเปรดอาจสูงกว่าสเปรดแบบลอยตัว: ในบางกรณี โบรกเกอร์ที่เสนอสเปรดแบบคงที่อาจมีสเปรดที่สูงกว่าบริษัทที่ใช้สเปรดแบบลอยตัว โดยเฉพาะเมื่อตลาดมีความผันผวนต่ำ
- ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการลดสเปรดในช่วงตลาดสงบ: ในบางช่วงที่ตลาดไม่มีความผันผวน สเปรดแบบคงที่อาจเป็นภาระ เนื่องจากไม่สามารถรับประโยชน์จากการลดสเปรดในช่วงเวลานั้นได้
- เหมาะสำหรับนักเทรดประเภทใด:
- นักเทรดระยะสั้น (Scalpers): สเปรดแบบคงที่เหมาะกับนักเทรดที่ทำการเทรดระยะสั้น เนื่องจากพวกเขาต้องการการคำนวณต้นทุนที่แน่นอนและสามารถคาดการณ์ผลกำไรได้
- นักเทรดมือใหม่: นักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของตลาดฟอเร็กซ์จะได้รับประโยชน์จากการเลือกใช้สเปรดแบบคงที่ เพราะช่วยให้สามารถเข้าใจต้นทุนได้ง่ายกว่า
- โบรกเกอร์ที่มักจะเสนอสเปรดแบบคงที่:
- โบรกเกอร์ที่ให้บริการบัญชีมาตรฐาน (Standard Account): โบรกเกอร์บางแห่งมักจะเสนอสเปรดแบบคงที่สำหรับบัญชีประเภทนี้ ซึ่งเหมาะสำหรับนักเทรดทั่วไปที่ต้องการความเรียบง่ายในการคำนวณต้นทุน
- โบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ: สเปรดแบบคงที่บางครั้งจะถูกเลือกใช้โดยโบรกเกอร์ที่ต้องการดึงดูดนักเทรดด้วยต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลง และง่ายต่อการเข้าใจ
สเปรดแบบลอยตัว (Floating Spread)
ข้อดี | ข้อเสีย | วิธีการทำงาน | ผลกระทบต่อนักเทรด | ตัวอย่าง |
สเปรดแคบในช่วงตลาดสงบ | อาจขยายตัวในช่วงตลาดผันผวน | สเปรดจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด หากตลาดมีความผันผวนสูง สเปรดจะกว้างขึ้น | นักลงทุนสามารถได้รับประโยชน์จากสเปรดที่แคบในช่วงที่ตลาดไม่ผันผวน | เมื่อคู่สกุลเงิน EUR/USD มีสเปรดที่ 1 จุดในช่วงที่ตลาดสงบ |
โอกาสลดต้นทุนการเทรด | เสี่ยงต่อความไม่แน่นอน | หากตลาดมีความผันผวน สเปรดจะกว้างขึ้นและอาจทำให้ต้นทุนการเทรดเพิ่มขึ้น | นักลงทุนอาจต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่ต้นทุนการเทรดเพิ่มขึ้นในช่วงตลาดผันผวน | เมื่อตลาดมีข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ สเปรดจะขยายตัว |
เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์ | ต้องระวังการขยายตัวของสเปรด | นักลงทุนที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของตลาดและสามารถจับจังหวะการลดหรือขยายตัวของสเปรดได้ | นักเทรดต้องมีทักษะในการจัดการกับความผันผวนของตลาด | นักลงทุนที่สามารถเทรดในช่วงที่ตลาดมีความเสถียรจะได้ประโยชน์จากสเปรดที่แคบ |
สามารถทำกำไรในช่วงตลาดนิ่ง | อาจเกิดความไม่แน่นอนในต้นทุน | สเปรดที่แคบในช่วงที่ตลาดไม่ผันผวนสามารถทำให้ต้นทุนต่ำและช่วยให้ทำกำไรได้เร็วขึ้น | นักเทรดจะได้ประโยชน์จากต้นทุนต่ำในช่วงที่ตลาดไม่ผันผวน | ตลาดสงบ สเปรดแคบ 1 จุด ทำให้ต้นทุนต่ำลงสำหรับนักเทรด |
เหมาะสำหรับนักเทรดระยะกลางและยาว | อาจทำให้การคาดการณ์ยากขึ้น | สเปรดจะขยายตัวหากมีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว หรือในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ | การคาดการณ์ต้นทุนการเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงอาจเป็นเรื่องยาก | ในช่วงข่าวเศรษฐกิจ สเปรดอาจขยายขึ้นถึง 5 จุด |
ค่าคอมมิชชั่น (Commission) ในฟอเร็กซ์
ค่าคอมมิชชั่นในฟอเร็กซ์คือค่าธรรมเนียมที่นักเทรดต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์เมื่อทำการเปิดหรือปิดการเทรด ซึ่งค่าคอมมิชชั่นนี้จะถูกคิดตามเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการเทรด หรือในบางกรณีอาจจะเป็นจำนวนเงินที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยทั่วไปแล้วค่าคอมมิชชั่นจะถูกหักจากการทำธุรกรรมในแต่ละครั้ง ซึ่งทำให้นักเทรดต้องคำนึงถึงต้นทุนนี้เมื่อทำการเปิดคำสั่งซื้อขาย
การคิดค่าคอมมิชชั่นในฟอเร็กซ์มีหลายรูปแบบ เช่น ค่าคอมมิชชั่นแบบคงที่ที่กำหนดเป็นจำนวนเงินที่ตายตัวในแต่ละการเทรด หรืออาจเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการเทรดที่มีการเปลี่ยนแปลงตามขนาดของการซื้อขาย ในบางกรณีโบรกเกอร์อาจเลือกที่จะไม่เก็บค่าคอมมิชชั่นเลย แต่จะเก็บสเปรดแทนซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างพบได้บ่อยในฟอเร็กซ์
ค่าคอมมิชชั่นมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ เนื่องจากเป็นหนึ่งในต้นทุนที่นักเทรดต้องพิจารณาในการคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนจากการเทรด โดยเฉพาะนักเทรดที่ทำการเทรดบ่อยครั้งหรือมีการเทรดขนาดใหญ่ ค่าคอมมิชชั่นจะมีผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนรวมของการทำธุรกรรมทั้งหมด ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าคอมมิชชั่นต่ำหรือโครงสร้างค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ค่าคอมมิชชั่นอาจมีความแตกต่างกันไปตามประเภทของบัญชีที่เปิดกับโบรกเกอร์ เช่น บัญชี ECN หรือ STP อาจมีการเก็บค่าคอมมิชชั่นที่สูงกว่า แต่จะมีสเปรดที่แคบกว่า ในขณะที่บัญชีแบบมาตรฐาน (Standard Account) อาจไม่เก็บค่าคอมมิชชั่น แต่จะมีสเปรดที่กว้างกว่า ดังนั้นนักเทรดจึงต้องเลือกประเภทบัญชีให้เหมาะสมกับรูปแบบการเทรดของตัวเอง
การคำนวณค่าคอมมิชชั่น
- การคำนวณค่าคอมมิชชั่นในฟอเร็กซ์: ค่าคอมมิชชั่นในการเทรดฟอเร็กซ์จะถูกคิดตามมูลค่าของการเทรดหรือขนาดของการทำธุรกรรม ซึ่งมักจะเป็นแบบเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าการเทรด หรืออาจเป็นค่าธรรมเนียมที่คงที่สำหรับทุกการเทรด
- การคำนวณแบบเปอร์เซ็นต์: การคำนวณค่าคอมมิชชั่นแบบเปอร์เซ็นต์จะคำนวณจากจำนวนเงินที่คุณทำการเทรด ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์กำหนดค่าคอมมิชชั่นเป็น 0.1% ต่อการเทรด และคุณทำการเทรดในจำนวนเงิน 10,000 USD การคำนวณค่าคอมมิชชั่นจะเป็น 0.1% ของ 10,000 USD ซึ่งจะได้ค่าคอมมิชชั่นเป็น 10 USD
- การคำนวณแบบค่าธรรมเนียมคงที่: ในบางกรณี โบรกเกอร์อาจกำหนดค่าคอมมิชชั่นเป็นจำนวนเงินที่คงที่ต่อการเทรด เช่น 5 USD ต่อการเปิดหรือปิดคำสั่งซื้อขายไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินเท่าใด การคำนวณค่าคอมมิชชั่นในกรณีนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับมูลค่าของการเทรด แต่จะคิดตามจำนวนเงินที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ล่วงหน้า
- ตัวอย่างการคำนวณค่าคอมมิชชั่น (เปอร์เซ็นต์):
- หากโบรกเกอร์เก็บค่าคอมมิชชั่น 0.1% ต่อการเทรด
- คุณทำการเทรด 10,000 USD
- ค่าคอมมิชชั่น = 0.1% * 10,000 USD = 10 USD
- ตัวอย่างการคำนวณค่าคอมมิชชั่น (ค่าธรรมเนียมคงที่):
- โบรกเกอร์กำหนดค่าคอมมิชชั่นเป็น 5 USD ต่อการเทรด
- คุณทำการเทรด 10,000 USD
- ค่าคอมมิชชั่น = 5 USD (ไม่ขึ้นอยู่กับขนาดของการเทรด)
ความแตกต่างระหว่างสเปรดและค่าคอมมิชชั่น
ลักษณะ | สเปรด | ค่าคอมมิชชั่น | วิธีการคำนวณ | ตัวอย่าง |
วิธีการคิดค่าธรรมเนียม | ความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย | ค่าธรรมเนียมที่คำนวณตามขนาดการเทรด | สเปรดจะคำนวณจากราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) | หากสเปรด EUR/USD คือ 0.0005 (5 จุด) และคุณซื้อ 1,000 USD |
ตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณ | ราคาซื้อและราคาขาย | ขนาดของการเทรด | สเปรดจะเปลี่ยนแปลงตามความผันผวนของตลาด | ค่าคอมมิชชั่น 0.1% สำหรับการเทรด 10,000 USD |
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น | เกิดขึ้นทันทีเมื่อเปิดหรือปิดการเทรด | เกิดขึ้นตามขนาดการเทรดและจำนวนการเทรด | สเปรดจะรวมอยู่ในต้นทุนโดยตรงที่ต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ | ค่าคอมมิชชั่น = 0.1% * 10,000 USD = 10 USD |
ประเภทของค่าธรรมเนียม | ค่าใช้จ่ายแบบแปรผันตามตลาด | ค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นแบบคงที่หรือแปรผัน | ค่าคอมมิชชั่นสามารถเป็นแบบเปอร์เซ็นต์หรือจำนวนเงินคงที่ | สเปรดของคู่สกุลเงิน GBP/USD อาจเพิ่มขึ้นในช่วงข่าวเศรษฐกิจ |
ความยืดหยุ่น | เปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด | มักจะมีอัตราค่าธรรมเนียมที่คงที่หรือเปอร์เซ็นต์ | สเปรดสามารถแคบหรือกว้างขึ้นตามสภาพตลาด | โบรกเกอร์ที่เก็บค่าคอมมิชชั่น 5 USD ต่อการเทรดทุกครั้ง |
ปัจจัยที่ส่งผลต่อสเปรดและค่าคอมมิชชั่น
สเปรดและค่าคอมมิชชั่นในฟอเร็กซ์ไม่ได้เป็นค่าธรรมเนียมที่คงที่ตลอดเวลา เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบต่ออัตราของค่าธรรมเนียมเหล่านี้ได้ ปัจจัยแรกที่สำคัญคือ สภาพตลาดและความผันผวน ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เช่น ช่วงเวลาที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก สเปรดมักจะกว้างขึ้นเนื่องจากโบรกเกอร์ต้องรับมือกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เมื่อคุณทำการเทรดในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน สิ่งที่คุณจะเห็นได้คือสเปรดที่กว้างขึ้น ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนในการทำการเทรด
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือ ประเภทของบัญชีที่เลือกใช้ บัญชีฟอเร็กซ์มีหลากหลายประเภท เช่น บัญชี ECN, STP หรือ Market Maker แต่ละประเภทบัญชีจะมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน บัญชีประเภท ECN หรือ STP มักจะมีสเปรดที่แคบและค่าคอมมิชชั่นที่สูงกว่า เนื่องจากโบรกเกอร์ไม่ทำการตลาดราคาเองและนำเสนอราคาจากผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายราย ทำให้สเปรดแคบและการทำธุรกรรมสะดวก แต่ค่าคอมมิชชั่นสูงขึ้น ในขณะที่บัญชีประเภท Market Maker จะมีสเปรดที่กว้างกว่า แต่ค่าคอมมิชชั่นมักจะต่ำหรือไม่มีเลย
ความนิยมของ คู่สกุลเงิน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อสเปรดและค่าคอมมิชชั่น คู่สกุลเงินที่มีความนิยมสูง เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD มักจะมีสเปรดที่แคบ เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง ซึ่งหมายความว่ามีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องและมีจำนวนผู้เข้าร่วมตลาดมาก ทำให้สามารถทำการเทรดได้ง่ายและต้นทุนการเทรดต่ำกว่า ในขณะที่คู่สกุลเงินที่มีการเทรดน้อยหรือมีความนิยมต่ำกว่า เช่น คู่สกุลเงินที่ไม่ค่อยมีการแลกเปลี่ยนมาก มักจะมีสเปรดที่กว้างขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องในการซื้อขาย
สุดท้าย การเลือก โบรกเกอร์ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ โบรกเกอร์แต่ละรายจะกำหนดนโยบายการเรียกเก็บสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่แตกต่างกัน โดยมักจะมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่มีความยืดหยุ่นตามลักษณะของลูกค้า เช่น โบรกเกอร์บางรายอาจเลือกที่จะไม่เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นและใช้การตั้งสเปรดแทน ซึ่งโครงสร้างนี้มักเหมาะกับนักเทรดที่ทำการเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ
ทำไมต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ?
- ลดต้นทุนการเทรด: สเปรดที่ต่ำจะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อขายที่มีสเปรดสูงจะทำให้ผลกำไรของคุณลดลง การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำทำให้คุณสามารถรักษาผลกำไรให้มากขึ้นได้
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว: สเปรดที่ต่ำหมายถึงคุณสามารถเข้าตลาดและออกจากตลาดได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูง ซึ่งช่วยให้คุณมีโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวมากขึ้น เนื่องจากคุณสามารถทำการเทรดได้บ่อยขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการลดทอนกำไรจากต้นทุนที่สูง
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม: การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์มีการเปิดและปิดคำสั่งจำนวนมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักเทรดที่มีการทำธุรกรรมหลายครั้งในแต่ละวัน การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเทรดแต่ละครั้ง ซึ่งส่งผลดีต่อผลกำไรที่คุณสามารถเก็บไว้ได้
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่ทำการเทรดบ่อย: นักเทรดที่มีการเปิดคำสั่งซื้อขายบ่อยครั้ง (Day Trader หรือ Scalper) ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ เพราะในแต่ละการทำธุรกรรมที่มีปริมาณสูง สเปรดที่ต่ำจะช่วยลดต้นทุนในการเทรดและทำให้คุณมีความยืดหยุ่นในการทำกำไรได้มากขึ้น
- เพิ่มความสามารถในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่เล็กน้อย: หากคุณเป็นนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์การเทรดในระยะสั้น เช่น การ Scalping หรือการเทรดในกรอบเวลาสั้น ๆ สเปรดต่ำจะช่วยให้คุณสามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยของราคาตลาดได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงจากสเปรด
- ความมั่นคงในระยะยาว: การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำเป็นการช่วยสร้างความมั่นคงให้กับกลยุทธ์การเทรดของคุณในระยะยาว เนื่องจากเมื่อคุณลดต้นทุนได้มากขึ้น การทำกำไรในระยะยาวจะง่ายกว่า และคุณสามารถรักษาผลกำไรที่ได้จากการเทรดในตลาดได้อย่างมั่นคง
สรุปความสำคัญของสเปรดและค่าคอมมิชชั่นในการเทรดฟอเร็กซ์
ลักษณะ | สเปรด | ค่าคอมมิชชั่น | ความสำคัญ | ตัวอย่าง |
ความเกี่ยวข้องกับการเทรด | เป็นค่าธรรมเนียมที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย | ค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บตามขนาดการเทรด | เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของนักเทรด | การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำและค่าคอมมิชชั่นต่ำช่วยลดต้นทุนการเทรด |
ผลกระทบต่อกำไร | สเปรดที่ต่ำช่วยลดต้นทุนการเทรด และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร | ค่าคอมมิชชั่นที่สูงอาจลดผลกำไรของนักเทรด | การเลือกสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว | ตัวอย่าง: การเทรดที่มีสเปรดแคบ 0.0005 จะช่วยให้ทำกำไรได้มากกว่า |
การควบคุมต้นทุน | สเปรดที่ต่ำช่วยให้ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำลง | ค่าคอมมิชชั่นที่ถูกเก็บตามขนาดการเทรดจะขึ้นอยู่กับประเภทของบัญชี | การควบคุมต้นทุนที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถรักษาผลกำไรในระยะยาวได้ | หากคุณทำการเทรด 10,000 USD และค่าคอมมิชชั่นเป็น 10 USD |
การเลือกโบรกเกอร์ | โบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำช่วยให้การทำธุรกรรมมีต้นทุนต่ำ | โบรกเกอร์ที่เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร | การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คุณมีต้นทุนการเทรดที่ถูกลง | โบรกเกอร์ ECN ที่มีสเปรดแคบและค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าจะเหมาะกับนักเทรดระยะยาว |
การเลือกประเภทบัญชี | บัญชีที่มีสเปรดต่ำมักจะมีต้นทุนการเทรดที่ต่ำกว่า | บัญชีประเภท ECN หรือ STP อาจมีค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าบัญชี Market Maker | เลือกประเภทบัญชีที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร | บัญชี ECN มีสเปรดแคบแต่มีค่าคอมมิชชั่นสูงกว่า Market Maker |
ความสำคัญของการเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสม
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสมถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักเทรดฟอเร็กซ์ เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของคุณ การมีสเปรดที่ต่ำหมายถึงต้นทุนในการเข้าตลาดและออกจากตลาดต่ำลง ทำให้คุณสามารถเก็บกำไรจากการเทรดได้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นนักเทรดที่ทำการซื้อขายบ่อยครั้งหรือใช้กลยุทธ์การเทรดในระยะสั้น
ค่าคอมมิชชั่นที่ถูกเก็บตามขนาดการเทรดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โบรกเกอร์บางรายอาจเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นในอัตราที่สูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไรโดยรวมในระยะยาว ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ที่เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสมและโปร่งใส จะช่วยให้นักเทรดสามารถคำนวณต้นทุนได้อย่างแม่นยำและวางแผนการเทรดได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำและค่าคอมมิชชั่นที่สมเหตุสมผลยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว เนื่องจากคุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปจากการทำธุรกรรมหลายครั้ง การเลือกประเภทบัญชีที่เหมาะสม เช่น บัญชี ECN หรือ STP ที่มีสเปรดแคบและค่าคอมมิชชั่นที่ถูกเก็บตามขนาดการเทรด อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักเทรดที่มีกลยุทธ์การเทรดระยะยาวหรือที่ต้องการควบคุมต้นทุน
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสเปรดและค่าคอมมิชชั่น จึงเป็นสิ่งที่นักเทรดทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดได้ดีขึ้น และทำให้คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ